การใช้น้ำ RO ในการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์

ข้อดีของการใช้น้ำ RO ในการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์

การใช้น้ำ RO ในการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์

การปลูกพืชไร้ดินหรือไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) เป็นเทรนด์การเกษตรที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถควบคุมปัจจัยการผลิตได้ดีกว่าการปลูกในดิน โดยเฉพาะคุณภาพของน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปลูกพืชในระบบนี้ 

"น้ำ RO" (Reverse Osmosis) ถือหนึ่งในตัวเลือกที่เกษตรกรหลายคนให้ความสนใจ เพราะในระบบการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์นั้น น้ำเป็นตัวกลางในการลำเลียงสารอาหารไปยังรากพืชโดยตรง ดังนั้นคุณภาพของน้ำจึงส่งผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของผลผลิต บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของการใช้น้ำ ชนิดนี้ในการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจและนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำ RO คืออะไร และทำงานอย่างไร?

น้ำประเภทนี้คือน้ำบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการกรองแบบ Reverse Osmosis ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการกรองน้ำที่มีความละเอียดสูงที่สุดในปัจจุบัน โดยใช้แรงดันสูงดันน้ำให้ไหลผ่านเยื่อเมมเบรน (Membrane) ที่มีรูพรุนขนาดเล็กมากถึง 0.0001 ไมครอน ทำให้สามารถดักจับสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ที่มีโมเลกุลใหญ่กว่าน้ำได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกลือแร่ สารโลหะหนัก สารเคมี เชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ผลลัพธ์ที่ได้คือน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์สูงมากจนใกล้เคียงกับน้ำกลั่น มีค่าการนำไฟฟ้า (EC) หรือปริมาณของแข็งที่ละลายในน้ำทั้งหมด (TDS) เข้าใกล้ศูนย์

 

ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้น้ำ RO ในระบบไฮโดรโปนิกส์

ข้อดี

  • ควบคุมธาตุอาหารได้ 100% : เนื่องจากน้ำประเภทนี้มีสถานะเป็นน้ำเปล่าที่แท้จริง (ค่า EC เริ่มต้นต่ำมาก) ทำให้เกษตรกรสามารถควบคุมสูตรปุ๋ยและปริมาณธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับพืชแต่ละชนิด และแต่ละช่วงอายุได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องกังวลกับแร่ธาตุที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจปนเปื้อนมากับแหล่งน้ำอื่น

  • ลดความเสี่ยงของโรคพืช : การกรองที่ละเอียดช่วยกำจัดเชื้อโรคและแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดโรครากเน่าหรือโรคอื่นๆ ในระบบไฮโดรโปนิกส์ ทำให้รากพืชแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี

  • ป้องกันการตกตะกอนของปุ๋ย : น้ำ RO ช่วยลดความกระด้างของน้ำ ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุอย่างแคลเซียมและแมกนีเซียมในปริมาณสูง (ซึ่งมักพบในน้ำประปาหรือน้ำบาดาล) การใช้น้ำที่มีความกระด้างสูงอาจทำให้ปุ๋ยบางชนิดทำปฏิกิริยาและตกตะกอน ทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้

  • ผลผลิตมีคุณภาพ : เมื่อพืชได้รับธาตุอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลในสภาวะที่ปลอดเชื้อโรค ย่อมส่งผลให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี มีความสด กรอบและปลอดภัยจากสารตกค้าง

ข้อเสีย

  • ต้นทุนสูง : ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบกรองน้ำ RO ค่อนข้างสูง โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามกำลังการผลิตและคุณภาพของเครื่อง นอกจากนี้ยังมีค่าบำรุงรักษาต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนไส้กรองตามอายุการใช้งาน

  • การสูญเสียน้ำ : กระบวนการกรองแบบ Reverse Osmosis มีน้ำทิ้งในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นอัตราส่วนตั้งแต่ 30% ถึง 40% ของน้ำที่เข้าสู่ระบบทั้งหมด ทำให้เกิดคำถามด้านความคุ้มค่าและการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดใหญ่

  • ไม่มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ : น้ำ RO จะกรองแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชออกไปด้วย เช่น แคลเซียม (Ca) และแมกนีเซียม (Mg) ดังนั้น เกษตรกรจึงจำเป็นต้องเติมแร่ธาตุเหล่านี้กลับเข้าไปในสารละลายปุ๋ย ซึ่งมักอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมที่เรียกว่า แคล-แม็ก (Cal-Mag)

  • ค่า pH ไม่เสถียร : น้ำประเภทนี้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่ค่อนข้างเป็นกลางไปทางกรดอ่อน และไม่มีสภาพต้านทานการเปลี่ยนแปลงค่า pH เหมือนน้ำประปา ทำให้ค่า pH ในระบบอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเมื่อเติมปุ๋ย จึงต้องมีการตรวจวัดและปรับค่า pH อย่างสม่ำเสมอ

 

การจัดการสารละลายธาตุอาหารเมื่อใช้น้ำ RO

  1. การวัดค่า EC เริ่มต้น : แม้น้ำประเภทนี้จะมีความบริสุทธิ์สูงมาก แต่ควรใช้เครื่องวัด EC ตรวจสอบค่าน้ำเริ่มต้นก่อนเสมอ ซึ่งควรจะมีค่า ไม่เกิน  20 uS/cm (ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร)

  2. การเติมแคลเซียมและแมกนีเซียม (Cal-Mag): ก่อนการเติมปุ๋ย A และ B ควรเติมผลิตภัณฑ์ Cal-Mag ลงไปในน้ำ RO ก่อน เพื่อชดเชยแร่ธาตุรองที่จำเป็นซึ่งถูกกรองออกไป ปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของผู้ผลิตและชนิดของพืชที่ปลูก

  3. การผสมปุ๋ย A และ B : หลังจากเติม Cal-Mag แล้ว ให้ทยอยเติมปุ๋ย A คนให้ละลายจนเข้ากันดี จากนั้นจึงเติมปุ๋ย B ตามลงไป (ห้ามผสมปุ๋ย A และ B เข้มข้นเข้าด้วยกันโดยตรง เพราะจะทำให้ธาตุอาหารตกตะกอน)

  4. การวัดและปรับค่า EC และ pH :
    • ค่า EC (Electrical Conductivity) : หลังจากผสมปุ๋ยเรียบร้อย ให้ใช้เครื่องวัด EC เพื่อตรวจสอบความเข้มข้นของสารละลายให้ได้ตามค่าที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด เช่น ผักสลัดอาจต้องการค่า EC ประมาณ 1.2 – 1.8 mS/cm (มิลลิซีเมนส์ต่อเซนติเมตร) ส่วนมะเขือเทศอาจต้องการค่าที่สูงกว่า

    • ค่า pH (Potential of Hydrogen) : ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับพืชไฮโดรโปนิกส์ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 5.5 – 6.5 หากค่า pH สูงหรือต่ำเกินไป จะส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมธาตุอาหารของพืช ให้ใช้สารละลายปรับค่า pH (pH Up หรือ pH Down) ค่อยๆ เติมลงไปทีละน้อยจนได้ค่าที่ต้องการ

 

ข้อแนะนำสำหรับเกษตรกรไฮโดรโปนิกส์ :หากคุณใช้น้ำ RO ควรวัดค่า EC และ pH อย่างสม่ำเสมอ และผสมปุ๋ยตามสูตรที่เหมาะสมสำหรับพืชแต่ละชนิด ควรตรวจสอบและดูแลเครื่องกรองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของไส้กรองและเมมเบรน และใช้น้ำประเภทนี้ร่วมกับระบบบำบัดน้ำทิ้งหรือเก็บน้ำทิ้ง ไว้ใช้ในกิจกรรมอื่น เช่น รดต้นไม้ ไม้ประดับ

 

ข้อควรพิจารณาในการใช้น้ำ RO

  • ต้นทุน : เนื่องจากเครื่องกรองน้ำระบบ Reverse Osmosis มีราคาสูง รวมถึงมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา เช่น การเปลี่ยนไส้กรองและเยื่อเมมเบรน

  • ไม่มีแร่ธาตุ : แม้ว่าน้ำประเภทนี้จะดีในแง่ความสะอาด แต่การไม่มีแร่ธาตุเลยหมายความว่าต้องใส่ปุ๋ยหรือธาตุอาหารพืชในอัตราที่เหมาะสม 100% หากสูตรไม่สมดุล พืชอาจขาดธาตุที่จำเป็น

  • ความเปลืองน้ำ :  กระบวนการ RO จะมีน้ำทิ้งประมาณ 30–40% ของน้ำดิบที่นำเข้าระบบ จึงควรมีระบบรีไซเคิลน้ำหรือนำไปใช้ประโยชน์อื่น

 

เปรียบเทียบ : น้ำประปา vs น้ำบาดาล vs น้ำ RO

ปัจจัยน้ำประปาน้ำบาดาลน้ำ RO
ความบริสุทธิ์ ปานกลาง ต่ำ (อาจมีโลหะหนัก) สูงมาก
ค่า pH และ EC ไม่คงที่ อาจสูงเกิน ควบคุมได้ง่าย
ความเสี่ยงต่อโรค ปานกลาง สูง ต่ำ
ควบคุมปุ๋ย ค่อนข้างยาก ยาก ง่ายที่สุด

 

การตัดสินใจใช้น้ำ RO ในการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและขนาดของการทำฟาร์ม เช่น ฟาร์มเชิงพาณิชย์ที่ต้องการผลผลิตคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ, การปลูกพืชที่มีความอ่อนไหวต่อคุณภาพน้ำสูง และเกษตรกรที่มีความเข้าใจในการจัดการสารละลายธาตุอาหารอย่างละเอียด แต่ก็อาจไม่คุ้มค่าสำหรับผู้ปลูกมือใหม่, การปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนหรือในพื้นที่ที่แหล่งน้ำประปามีคุณภาพดีอยู่แล้ว (มีค่า EC เริ่มต้นไม่สูงและไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย)

 

โดยสรุป น้ำ RO ถือเป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมปัจจัยการผลิตได้ถึงขีดสุด แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนและความซับซ้อนในการจัดการที่สูงขึ้น การพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งข้อดี ข้อเสีย และความคุ้มค่าในการลงทุน จะช่วยให้คุณเลือกใช้แหล่งน้ำที่เหมาะสมกับระบบไฮโดรโปนิกส์ของคุณได้อย่างแท้จริง

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  • H2O Hydro Garden: https://www.h2ohydrogarden.com/
  • Smart Farm DIYs: https://www.smartfarmdiys.com/
  • Neonics: https://www.neonics.co.th/
  • Sunny Garden: https://sunnygardenkan.com/

 

หากคุณกำลังมองหา น้ำ RO เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมหรือการพืชไฮโดรโปนิกส์ของคุณ RHK Group เราเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสารเคมี เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ทั้ง อุตสาหกรรมสี, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เหล็ก, ยาง, น้ำมันอุตสาหกรรม, สิ่งทอ, การพิมพ์, อาหาร, เครื่องดื่มและเครื่องสำอาง ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจากแหล่งผลิตทั้งในและต่างประเทศให้คุณได้เลือกใช้กับอุตสาหกรรมของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยแน่นอน


สนใจน้ำ ROติดต่อได้ที่

บริษัท อาร์ เอช เค กรุ๊ป จำกัด
189 ม.10 ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 10130 

โทร : 02-394-0222 , 02-757-9961 แฟ็กซ์ 02-394-0223 
อีเมล: rhkgroup@hotmail.com , mktg@rhkchemical.com

  tel:02-394-0222